
พระคาถาเมตตาใหญ่พิสดาร อ.เสริมศิลป์ ขอนวงค์ กลุ่มแสงธรรมประทีป เจโตวิมุตติ
พระคาถาเมตตาใหญ่พิสดาร
อ.เสริมศิลป์ ขอนวงค์ กลุ่มแสงธรรมประทีป เจโตวิมุตติ
จากบทเดิมที่หลายท่านทราบว่ามาจาก เทวดาพา “แม่ชีก้อนทอง ปานเณร” สวดทุกคืน และ “หลวงพ่อจรัญ” ท่านไปเสาะหาต้นฉบับที่วัดมหาธาตุ แต่ไม่พบ จึงไปสอบถามเจ้าคุณท่านหนึ่งที่วัดสุทัศน์ มีแต่เฉพาะบทเมตตาเท่านั้น ในส่วนฉบับจริงและเต็ม ๆ นั้นมี ทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ยาวมากๆ สวดครั้งละ ๓ – ๔ ชั่วโมง (รวมบทแปลด้วย) จาก วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม “หลวงพ่อเมตตาหลวง”
ได้สอบถามที่มาของ พระคาถาเมตตาใหญ่พิสดาร อาจารย์เล่าให้ฟังว่า อาจารย์รู้จักบทนี้มาหลายปีค่ะ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๙ ในงานศพหลวงปู่แหวน เนื่องการรถไฟรับเป็นเจ้าภาพอาหารในงานศพ ขณะที่ช่วยงานนั้น หลวงปู่เมตตาหลวง ก็เรียกอาจารย์เข้าไปหา แล้วก็มอบหนังสือสวดมนต์เล่มเล็ก ๆ ให้
“เอ้า! ไอ้หนุ่มเอานี่ไปสวด”
เป็นหนังสือพระคาถาเมตตาหลวงเล่มเล็ก ๆ แต่เมื่ออาจารย์เห็น ก็ไม่อยากสวดเพราะยาวมาก อาจารย์ขณะนั้นสวดมนต์ไม่เก่งอย่างนี้ค่ะ จึงไม่ได้สวด จนกระทั่งมาปี พ.ศ.2545 ก้มีคนนำบทสวดมนต์นี้มาให้ดูแต่เป็น บทเมตตาอย่างเดียว เป็นหนังสือทีจัดพิมพ์เพื่อแจกที่วัดอัมพวัน ค่ะ
อาจารย์ก็เริ่มสนใจที่จะสวดมนต์บทนี้ ก็หัดสวด แรก ๆ นั้นอาจารย์สวดแบบอ่าน ไม่ได้ใส่ทำนอง และไม่สวดเร็วเป็นจังหวะหนักแน่นอย่างปัจจุบัน จนกระทั่งมีสิ่งมาดลใจให้สวดมนต์เป็นทำนอง จังหวะ และเร็วขึ้น อย่างที่สวดในปัจจุบัน อาจารย์จะเน้นให้สวดอย่างมีสติ มีสมาธิ และสวดอย่างนอบน้อมศรัทธาต่อพระพุทธองค์
และเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๘ อาจารย์ได้ไปเจอบทสวดมนต์แผ่เมตตาแบบละเอียดในชั้นภพต่าง ๆ ที่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง เป็นบทแผ่เมตตาของครูเจ้าท่านหนึ่ง อาจารย์เห็นว่าละเอียด จึงนำมารวมกับบทเมตตาใหญ่ เพิ่มในส่วน ของโอทิศ คือ บทเฉพาะเจาะจงเป็นส่วนว่าหญิงชายเพิ่มเข้าไปอีก ขออธิบายอย่างคร่าว ๆ ดังนี้
บทสวดเมตตาใหญ่ แบบพิสดาร จำนวนบุคคลที่แผ่เมตตาให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
เดิมที่มีอยู่
(๑) อิตถิโย = ผู้หญิง (๒) ปุริสา =ผู้ชาย (๓) อะริยา =พระอริยะ (๔) อะนะริยา = ปุถุชน
(๕) เทวา = เทวดา (๕) มนุสสา = มนุษย์ (๖) วินิปาติกา = ผู้มีอัตตภาพ
ในส่วนพิสดารได้เพิ่มบท โอทิศ หรือ บทเฉพาะเจาะจงเป็นส่วนว่าหญิงชาย คือ เพิ่มชนิดและแยกชั้นของเทวดา ชั้นของภพเบื้องล่างให้ละเอียดมากขึ้น ไปอีก ๓๑ ประเภท (สีน้ำเงินคือส่วนที่เพิ่มขึ้นมา)( สีแดงคือของเดิม )
(๑) อิตถิโย = ผู้หญิง (๒) ปุริสา =ผู้ชาย (๓) อะริยา =พระอริยะ (๔) อะนะริยา = ปุถุชน
(๕) จาตุมมหาราชิกาเทวา = เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
(๖) ตาวะติงสาเทวา = เทวดาชั้นดาวดึงส์
(๗) ยามาเทวา = เทวดาชั้นยามา
(๘) ตุสิตาเทวา = เทวดาชั้นดุสิต
(๙) นิมมานะระตีเทวา = เทวดาชั้นนิมมานะระดี
(๑๐) ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีเทวา = เทวดาชั้นปะระนิมมิตะวะสะวัตตี
(๑๑) อินทา
(๑๒) พรหมา
(๑๓) จตุโลกะปาลา (๑๔) ยมมะราชา (๑๕) ยะมะปาลา (๑๖) สิริคุตตะระอะมัจจา =สิริคุตตะระอำมาตย์
(๑๗) ยักษา (๑๘) ยักษี (๑๙) กุมภัณฑา
(๒๐) ครุทธา (๒๑) กินนรา (๒๒) กินนะรี (๒๓) นาคา (๒๔) นาคี
(๒๕) มนุสสา = มนุษย์ (๒๖) อะมะนุสสา (๒๗) วิริยะปาติกา (๒๘) มิตตา (๒๙) อมิตตา (๓๐) มัชฌะตา = ผู้เป็นกลาง ๆ
(๓๑) ติรัจฉา (๓๒) เปติกา (๓๓) เปตา (๓๔) อสุระกายา (๓๕) เปตาวัตถุโย (๓๖) เปตวิเสยยา (๓๗) วินิปาติกา = ผู้มีอัตตภาพ
อาจารย์เสริมศิลป์ได้นำบทพิสดารมาให้ คุณพัทธยา รวบรวมเรียบเรียง และ มีพระครูศรีธรรมวิภัช สุนฺทรธมฺโม (พระมหาบุญมั่น : เปรียญ ๗ ประโยค) เจ้าอาวาสวัดห้วยหม้าย อ.สอง จ.แพร่ ตรวจสอบไวยกรณ์อีกครั้ง จนมาเป็นบทสวด “พระคาถาเมตตาใหญ่พิสดาร” ในปัจจุบันค่ะ
อานิสงส์ : ถ้าท่านสวด ณ ที่ใด จะสามารถป้องกันภัยธรรมชาติ ณ บ้านนั้น ตำบลนั้น อำเภอนั้น (ถ้าสวดกันทั้งหมู่บ้านจักป้องกันภัยธรรมชาติได้)
ถ้าผู้สวดเป็นผู้มีกำลังสมาธิปานกลางก็สามารถส่งกำลังเมตตา ได้มากถึง ๑ โยชน์ (๑๖ กิโล) ไปทุกทิศ
ถ้าผู้สวดเป็นผู้มีกำลังสมาธิมากก็สามารถส่งกำลังเมตตา ได้ถึงชั้นเทวดา และชั้นภพเบื้องล่าง ได้
(เรื่องเล่าจากผู้สวด : จดหมายจากอเมริกา – บ้านไม่พังจาก พายุแคทรีน่า เพราะบทสวดมนต์บท เมตตาใหญ่ )
เมตตาเจโตวิมุตติ
พระคาถาเมตตาใหญ่พิสดาร
อ.เสริมศิลป์ ขอนวงค์ กลุ่มแสงธรรมประทีป เจโตวิมุตติ
จากบทเดิมที่หลายท่านทราบว่ามาจาก เทวดาพา “แม่ชีก้อนทอง ปานเณร” สวดทุกคืน และ “หลวงพ่อจรัญ” ท่านไปเสาะหาต้นฉบับที่วัดมหาธาตุ แต่ไม่พบ จึงไปสอบถามเจ้าคุณท่านหนึ่งที่วัดสุทัศน์ มีแต่เฉพาะบทเมตตาเท่านั้น ในส่วนฉบับจริงและเต็ม ๆ นั้นมี ทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ยาวมากๆ สวดครั้งละ ๓ – ๔ ชั่วโมง (รวมบทแปลด้วย) จาก วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม “หลวงพ่อเมตตาหลวง”
ได้สอบถามที่มาของ พระคาถาเมตตาใหญ่พิสดาร อาจารย์เล่าให้ฟังว่า อาจารย์รู้จักบทนี้มาหลายปีค่ะ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๙ ในงานศพหลวงปู่แหวน เนื่องการรถไฟรับเป็นเจ้าภาพอาหารในงานศพ ขณะที่ช่วยงานนั้น หลวงปู่เมตตาหลวง ก็เรียกอาจารย์เข้าไปหา แล้วก็มอบหนังสือสวดมนต์เล่มเล็ก ๆ ให้
“เอ้า! ไอ้หนุ่มเอานี่ไปสวด”
เป็นหนังสือพระคาถาเมตตาหลวงเล่มเล็ก ๆ แต่เมื่ออาจารย์เห็น ก็ไม่อยากสวดเพราะยาวมาก อาจารย์ขณะนั้นสวดมนต์ไม่เก่งอย่างนี้ค่ะ จึงไม่ได้สวด จนกระทั่งมาปี พ.ศ.2545 ก้มีคนนำบทสวดมนต์นี้มาให้ดูแต่เป็น บทเมตตาอย่างเดียว เป็นหนังสือทีจัดพิมพ์เพื่อแจกที่วัดอัมพวัน ค่ะ
อาจารย์ก็เริ่มสนใจที่จะสวดมนต์บทนี้ ก็หัดสวด แรก ๆ นั้นอาจารย์สวดแบบอ่าน ไม่ได้ใส่ทำนอง และไม่สวดเร็วเป็นจังหวะหนักแน่นอย่างปัจจุบัน จนกระทั่งมีสิ่งมาดลใจให้สวดมนต์เป็นทำนอง จังหวะ และเร็วขึ้น อย่างที่สวดในปัจจุบัน อาจารย์จะเน้นให้สวดอย่างมีสติ มีสมาธิ และสวดอย่างนอบน้อมศรัทธาต่อพระพุทธองค์
และเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๘ อาจารย์ได้ไปเจอบทสวดมนต์แผ่เมตตาแบบละเอียดในชั้นภพต่าง ๆ ที่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง เป็นบทแผ่เมตตาของครูเจ้าท่านหนึ่ง อาจารย์เห็นว่าละเอียด จึงนำมารวมกับบทเมตตาใหญ่ เพิ่มในส่วน ของโอทิศ คือ บทเฉพาะเจาะจงเป็นส่วนว่าหญิงชายเพิ่มเข้าไปอีก ขออธิบายอย่างคร่าว ๆ ดังนี้
บทสวดเมตตาใหญ่ แบบพิสดาร จำนวนบุคคลที่แผ่เมตตาให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
เดิมที่มีอยู่
(๑) อิตถิโย = ผู้หญิง (๒) ปุริสา =ผู้ชาย (๓) อะริยา =พระอริยะ (๔) อะนะริยา = ปุถุชน
(๕) เทวา = เทวดา (๕) มนุสสา = มนุษย์ (๖) วินิปาติกา = ผู้มีอัตตภาพ
ในส่วนพิสดารได้เพิ่มบท โอทิศ หรือ บทเฉพาะเจาะจงเป็นส่วนว่าหญิงชาย คือ เพิ่มชนิดและแยกชั้นของเทวดา ชั้นของภพเบื้องล่างให้ละเอียดมากขึ้น ไปอีก ๓๑ ประเภท (สีน้ำเงินคือส่วนที่เพิ่มขึ้นมา)( สีแดงคือของเดิม )
(๑) อิตถิโย = ผู้หญิง (๒) ปุริสา =ผู้ชาย (๓) อะริยา =พระอริยะ (๔) อะนะริยา = ปุถุชน
(๕) จาตุมมหาราชิกาเทวา = เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
(๖) ตาวะติงสาเทวา = เทวดาชั้นดาวดึงส์
(๗) ยามาเทวา = เทวดาชั้นยามา
(๘) ตุสิตาเทวา = เทวดาชั้นดุสิต
(๙) นิมมานะระตีเทวา = เทวดาชั้นนิมมานะระดี
(๑๐) ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีเทวา = เทวดาชั้นปะระนิมมิตะวะสะวัตตี
(๑๑) อินทา
(๑๒) พรหมา
(๑๓) จตุโลกะปาลา (๑๔) ยมมะราชา (๑๕) ยะมะปาลา (๑๖) สิริคุตตะระอะมัจจา =สิริคุตตะระอำมาตย์
(๑๗) ยักษา (๑๘) ยักษี (๑๙) กุมภัณฑา
(๒๐) ครุทธา (๒๑) กินนรา (๒๒) กินนะรี (๒๓) นาคา (๒๔) นาคี
(๒๕) มนุสสา = มนุษย์ (๒๖) อะมะนุสสา (๒๗) วิริยะปาติกา (๒๘) มิตตา (๒๙) อมิตตา (๓๐) มัชฌะตา = ผู้เป็นกลาง ๆ
(๓๑) ติรัจฉา (๓๒) เปติกา (๓๓) เปตา (๓๔) อสุระกายา (๓๕) เปตาวัตถุโย (๓๖) เปตวิเสยยา (๓๗) วินิปาติกา = ผู้มีอัตตภาพ
อาจารย์เสริมศิลป์ได้นำบทพิสดารมาให้ คุณพัทธยา รวบรวมเรียบเรียง และ มีพระครูศรีธรรมวิภัช สุนฺทรธมฺโม (พระมหาบุญมั่น : เปรียญ ๗ ประโยค) เจ้าอาวาสวัดห้วยหม้าย อ.สอง จ.แพร่ ตรวจสอบไวยกรณ์อีกครั้ง จนมาเป็นบทสวด “พระคาถาเมตตาใหญ่พิสดาร” ในปัจจุบันค่ะ
อานิสงส์ : ถ้าท่านสวด ณ ที่ใด จะสามารถป้องกันภัยธรรมชาติ ณ บ้านนั้น ตำบลนั้น อำเภอนั้น (ถ้าสวดกันทั้งหมู่บ้านจักป้องกันภัยธรรมชาติได้)
ถ้าผู้สวดเป็นผู้มีกำลังสมาธิปานกลางก็สามารถส่งกำลังเมตตา ได้มากถึง ๑ โยชน์ (๑๖ กิโล) ไปทุกทิศ
ถ้าผู้สวดเป็นผู้มีกำลังสมาธิมากก็สามารถส่งกำลังเมตตา ได้ถึงชั้นเทวดา และชั้นภพเบื้องล่าง ได้
(เรื่องเล่าจากผู้สวด : จดหมายจากอเมริกา – บ้านไม่พังจาก พายุแคทรีน่า เพราะบทสวดมนต์บท เมตตาใหญ่ )
เมตตาเจโตวิมุตติ


